เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้

เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้

***เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ คือ ภาวะที่มีการอักเสบ

แดงของเยื่อบุตาเมื่อได้รับสารที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้

ผู้ป่วยจะมีอาการตาแดง คันตา เคืองตาและอาจมีขี้ตา

เป็นเมือกใสๆ หรือในรายที่เป็นมากอาจมีอาการเปลือก

ตาบวมร่วมด้วย ในเด็กอาจพบว่าเด็กขยี้ตาบ่อย บางราย

อาจมีการขยิบตาบ่อย ๆ

***สารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้แก่ สารทุกชนิดที่อยู่รอบตัวเรา

สามารถทำให้เกิดอาการภูมแพ้ได้ทั้งสิ้น แต่สารที่มักพบว่า

เป็นสาเหตุของเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ ได้แก่ ละอองเกสร

ดอกไม้ ฝุ่น เชื้อรา ขนสัตว์ น้ำหอม อาหาร ควันไฟ หรือ

ควันบุหรี่ ยาบางชนิด มลภาวะในอากาศ ดังนั้นการที่จะ

ทราบว่าสิ่งใดเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ต้องอาศัย

การสังเกตว่ามีอาการเกิดขึ้นหลังจากการได้รับ หรือสัมผัส

สารนั้น ๆ

***ผู้ที่สวมคอนแทคเลนส์ หากทำความสะอาดเลนส์ไม่ถูก

วิธีจะทำให้เลนส์มีคราบสกปรก เมื่อเวลาผ่านไปอาจมีการ

กระตุ้นให้เกิดอาการเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ได้เช่นกัน

**แนวทางการรักษาเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้

1.สิ่งสำคัญที่สุด คือ การค้นหาว่าสารที่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้

คืออะไรแล้วพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือได้รับสารก่อ

ภูมิแพ้จะทำให้อาการอักเสบจากภูมิแพ้ลดลงได้

2.การรักษาด้วยยา จะมีการให้ยาลดอาการภูมิแพ้ตามความรุนแรง

ในรายที่มีอาการไม่มากแพทย์อาจสั่งยาหยอดตาให้เฉพาะเวลา

มีอาการ หากมีอาการรุนแรง หรือเป็นเรื้อรังอาจจำเป็นต้องให้

ยาหยอดตารักษาภูมิแพ้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่ง ใน

บางรายอาจจำเป็นต้องใช้ยาหยอดตากลุ่ม “สเตียรอยต์”

และอาจต้องใช้ยารับประทานร่วมด้วย

3.สำหรับผู้ที่สวมคอนแทคเลนส์ ควรงดการใช้คอนแทคเลนส์

จนกว่าอาการอักเสบจะสงบ และแพทย์อนุญาตให้ใช้คอน

แทคเลนส์ต่อได้

4.การประคบดวงตาด้วยผ้าขนหนูสะอาดชุบน้ำเย็นจะช่วย

บรรเทาอาการแดง บวม และอาการคันได้

***เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ทำไห้มีผลต่อการมองเห็น

เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ในระยะไม่รุนแรงมักไม่มีผล

ต่อการมองเห็นแต่ถ้าอาการรุนแรงและเรื้อรัง อาจมีผล

ทำให้การมองเห็นลดลงได้

***ยารักษาภูมิแพ้อาทำให้อาการแสบตา หรืออาการตา

แห้งได้แต่มักจะไม่พบอาการข้างเคียงที่รุนแรง ยกเว้น

ยา กลุ่มสเตียรอยต์ หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจ

ทำให้เกิดโรคต้อหิน ซึ่งทำให้ตาบอดได้ ดังนั้นควรใช้ยา

ในความดูแลของแพทย์ ไม่ควรซื้อยาหยอดตามาใช้เอง

เป็นอันขาด

**จากวรสาร กองจักษุกรรม

โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์

กรมแพทย์ทหารเรือ